5 ข้อได้เปรียบสำคัญของการแปลด้วย GPT ที่ไม่ควรมองข้าม

more

O.Translator

Oct 09, 2023

cover-img

บอกลาการแปลแข็งๆ: ทำไม GPT ถึงเปลี่ยนโลกการแปลได้ขนาดนี้?

คุณเคยโดนเครื่องแปลภาษาที่แปลแบบติดๆ ขัดๆ ไม่มีชีวิตชีวา “ทรมาน” บ้างไหม? อ่านแต่ละคำก็เข้าใจนะ แต่พอรวมกันแล้วมันรู้สึกว่า “ไม่ใช่ฟีลนี้เลย”พูดตรงๆ เลยนะ การแปลด้วยเครื่องแบบเดิมๆ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ก็ช่วยเราได้เยอะจริง แต่ระหว่างมันกับการแปลแบบ “ถูกต้อง ครบถ้วน สละสลวย” เหมือนยังมีอะไรบางอย่างกั้นอยู่

จนกระทั่ง GPT (Generative Pre-trained Transformer) โผล่มาแบบปังๆ เราถึงได้รู้สึกว่า ยุคใหม่ของการแปลมันมาถึงแล้วจริงๆมันไม่ได้แค่เร็วหรือแม่นยำขึ้นนะ ที่สำคัญคือมันเหมือนจะ “เข้าใจ” อารมณ์ละเอียดอ่อนกับบริบทซับซ้อนที่เราต้องการจะสื่อจริงๆแล้ว GPT มันมีเวทมนตร์อะไร ทำไมแปลออกมาถึงดู “มีสมอง” ขนาดนี้?

ไม่ใช่แค่ “ทายคำ” อีกต่อไป แต่เป็นการ “อ่านบริบท” จริงๆ

การเข้าใจบริบท ฟังดูอาจจะลอยๆ แต่จริงๆ แล้วนี่แหละคือหัวใจของการแปลคุณภาพสูง ลองดูตัวอย่างง่ายๆ กัน:

“I didn’t see her face because of the mask.”

ถ้าเป็นเครื่องมือแปลที่ไม่ฉลาดพอ ก็อาจจะแปลแบบแข็งๆ ว่า “เพราะหน้ากากเลยมองไม่เห็นหน้า” แต่ไม่ได้คิดต่อเลยว่า “หน้ากาก” ที่ว่าคืออะไร? เป็นหน้ากากแฟนซีในงานปาร์ตี้ หรือเป็นหน้ากากอนามัยที่เราใส่กันทุกวัน?

นี่แหละคือทีเด็ดของ GPT เลย!ในคลังข้อมูลมหาศาลที่มัน “อ่านมา” มีบริบทของเหตุการณ์สาธารณสุขที่ถาโถมเข้ามาในช่วงไม่กี่ปีนี้เพียบเลยมันจับได้ทันทีว่า “mask” ตรงนี้ โอกาสสูงมากคือหน้ากากอนามัยที่เราใช้ป้องกันตัวเอง แล้วก็จะแปลออกมาได้แบบเข้าใจง่ายสุดๆ

ความสามารถแบบนี้ สำหรับแปลเอกสารระดับมืออาชีพ บอกเลยว่าเหมือนมีตัวช่วยชีวิต!ลองคิดดูสิ ถ้าเป็นสัญญากฎหมายหรือคู่มือเทคนิค แล้วเข้าใจศัพท์เฉพาะผิดไปนิดเดียว ผลลัพธ์อาจจะพังได้เลยนะGPT ยังจับลำดับเหตุผลและการอ้างอิงในเนื้อหายาวๆ ได้ดีกว่าเดิมอีกนะ รับรองว่าแปลออกมาทั้งลื่นไหลและแม่นเป๊ะ อยากลองเองมั้ย? ไปดูเลยว่า AI สมัยนี้แปล PDF ได้ง่ายแค่ไหน แถมยังคงรูปแบบต้นฉบับเป๊ะๆ ด้วย ที่นี่

บอกลาสำนวนหุ่นยนต์ ให้การแปลดูเป็นภาษาคนจริงๆ!

“ซื่อ ดา หยา” คือเป้าหมายสูงสุดของการแปล แต่การแปลด้วยเครื่องแบบเดิมๆ มักจะทำได้แค่ “ซื่อ” เท่านั้น ส่วน “ดา” กับ “หยา” นี่ล้มเหลวไม่เป็นท่า เหลือแต่ข้อความที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการแปลแข็งๆ

ไม่เชื่อเหรอ? งั้นมาลองเปรียบเทียบการแปลประโยคยาวๆ นี้กันหน่อย:

  • ประโยคต้นฉบับ: “Although he was tired after working long hours, he still decided to go to the gym, which his doctor had advised him to do for improving his health.”
  • การแปลด้วยเครื่องแบบเดิม: “尽管长时间工作后他很累,但他仍然决定去健身房,这是医生建议他去健身房以改善健康的。” (อ่านแล้วรู้สึกงงๆ ไหม?)
  • GPT แปล: “แม้ว่าการทำงานล่วงเวลาจะทำให้เขาเหนื่อยล้า แต่เขาก็ยังตัดสินใจไปยิมอยู่ดี เพราะหมอแนะนำแบบนี้เพื่อให้สุขภาพเขาดีขึ้น” (รู้สึกว่ามันลื่นไหลขึ้นมาทันทีเลยใช่ไหม?)

ความต่างมันอยู่ตรงนี้แหละ GPT เข้าใจวิธีพูดของภาษาปลายทางมากกว่าเดิมมันจะปรับลำดับคำ เลือกใช้ศัพท์ที่เป็นธรรมชาติ หรือแม้แต่เติมคำบางคำให้ประโยคมันลื่นไหล อ่านแล้วเหมือนเจ้าของภาษาเขียนจริงๆ ความ “เป็นมนุษย์” แบบนี้แหละ ที่ทำให้การอ่านมันสนุกขึ้น

มุมมองที่ยุติธรรมกว่า: พยายามลดอคติในภาษา

ภาษาเป็นเหมือนกระจกสะท้อนวัฒนธรรม บางทีก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะสะท้อนภาพเหมารวมในสังคมออกมาด้วยอย่างเช่น เวลาแปลอาชีพที่เป็นกลางๆ อย่าง “doctor” หรือ “engineer” โมเดลแปลรุ่นเก่าๆ บางตัวอาจเผลอใช้สรรพนามผู้ชายโดยอัตโนมัติ

โชคดีที่ตอนนี้ GPT ได้รับการฝึกด้วยข้อมูลที่หลากหลายและกว้างขวางขึ้น ทำให้พัฒนาขึ้นมากในเรื่องนี้มันจะระวังเรื่องอคติทางเพศมากขึ้น แล้วก็ให้คำแปลที่เป็นกลางและเป็นธรรมมากกว่าเดิมนี่อาจจะเป็นแค่ก้าวเล็กๆ ของเทคโนโลยี แต่เป็นก้าวใหญ่ที่เต็มไปด้วยความใส่ใจในความเป็นมนุษย์

“YYDS” ก็เข้าใจเหรอ? มุกฮิตกับสแลงเน็ตก็เอาอยู่!

ภาษาเป็นสิ่งมีชีวิตนะ มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะในยุคออนไลน์ วันนี้เพิ่งมีมุกใหม่เกิดขึ้น พรุ่งนี้อาจจะดังทั่วเน็ตแล้วก็ได้

นี่แหละคือความท้าทายใหญ่สำหรับเครื่องมือแปลภาษาแต่ความเจ๋งของ GPT คือ “สูตรลับ” ของมันครอบคลุมทุกอย่าง ตั้งแต่บทละคร Shakespeare ยันโพสต์โซเชียลล่าสุด ไม่มีอะไรที่มันไม่กิน!นี่แหละที่ทำให้มันเข้าใจและแปลสแลง สุภาษิต หรือแม้แต่ศัพท์เน็ตได้แบบสบายๆสำหรับใครที่ต้องทำการตลาดแบบโลคัลไลซ์ หรืออยากรู้ว่าชาวเน็ตต่างประเทศเขาคุยอะไรกันอยู่ บอกเลยว่านี่คือของขวัญจากฟ้า! อยากรู้ไหมว่า AI แปลภาษาในวงการวัฒนธรรมนิชย์มันเทพขนาดไหน? ลองอ่านบทความนี้เกี่ยวกับศิลปะแห่งการแปลมังงะ แล้วจะร้องว้าวแน่นอน!

วิวัฒนาการไม่มีวันหยุด: อนาคตของการแปลด้วย GPT มาถึงแล้ว

อะไรที่ทำให้เราตื่นเต้นที่สุด? ก็คือความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองแบบไร้ขีดจำกัดของ GPT นี่แหละ!

สิ่งที่เราเห็นในวันนี้ อาจเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งของความสามารถมันเท่านั้นเองต่างจากการแปลแบบเดิมที่ต้องพึ่งกฎตายตัวกับคลังข้อมูลภาษา เทคโนโลยีอย่างโมเดล GPT ของ OpenAI นั้น โครงสร้างของมันถูกออกแบบมาให้เรียนรู้ต่อเนื่องและฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ได้จริงๆ

เพราะงั้น ถ้าจะบอกว่า GPT เป็นแค่ “ตัวแทน” ของการแปลเครื่องแบบเดิมๆ ก็ยังไม่โดนใจเท่าไหร่ ฉันขอเรียกมันว่า “เวอร์ชั่นอัปเกรด” ดีกว่า!มันกำลังนิยามใหม่ให้กับวิธีที่เราสื่อสารกับภาษาต่างๆ ทำให้การพูดคุยลื่นไหลและแม่นยำแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยถ้าใครอยากรู้ข้อดีของการแปลด้วย GPT แบบเจาะลึก ลองไปอ่านบทความนี้ดู 《คุณต้องรู้! 5 ข้อดีของการแปลด้วย GPT》

พร้อมหรือยังที่จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการสื่อสารไร้ขีดจำกัดด้วยพลัง AI?

หัวข้อ

ข้อมูลเชิงลึก

ข้อมูลเชิงลึก

บทความที่เผยแพร่แล้ว11

แนะนำให้อ่าน